Uncategorized @th
อันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศ
อันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศ
พื้นที่อับอากาศ (Confined Space) เป็นสถานที่ที่มีทางเข้าและออกอย่างจำกัด ซึ่งมีการระบายอากาศไม่เพียงพอที่จะทำให้อากาศภายในที่นั้น ๆ อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย โดยอาจเป็นที่สะสมของสารเคมีที่เป็นพิษ สารไวไฟ รวมทั้ง มีออกซิเจนไม่เพียงพอสำหรับการหายใจ เช่น ถังน้ำมัน ถังหมัก ท่อ ถัง ถ้ำ บ่อ อุโมงค์ เตา ห้องใต้ดิน ภาชนะ หรือสถานที่อื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน การพิจารณาว่า พื้นที่ใดจัดเป็นพื้นที่อับอากาศ มีปัจจัยในการพิจารณาดังนี้
1. พื้นที่ซึ่งมีขนาดเล็ก แก๊สหรือไอที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น ไม่สามารถระบายออกไปได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่จำเป็นต้องทำงานในบริเวณนั้น โดยอาจสูดดมเอาแก๊สพิษเข้าไปในร่างกาย หรือมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ รวมถึง อาจมีแก๊สที่สามารถติดไฟได้ในบริเวณนั้น
2. ผู้ปฏิบัติงานคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกพื้นที่นั้น จะเข้าไปสังเกตการณ์หรือช่วยเหลือผู้ที่กำลังปฏิบัติงานได้ยาก
3. ทางเข้า-ออก อยู่ไกลจากจุดปฏิบัติงาน มีขนาดเล็ก หรือมีจำนวนจำกัด
อันตรายจากการปฏิบัติงานในพื้นที่อับอากาศ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานและความเสียหายอย่างอื่น เช่น ทรัพย์สินหรืออาจถึงชีวิต ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. การขาดออกซิเจน
2. เกิดไฟไหม้ เนื่องจากการระเบิดของแก๊สที่ติดไฟได้ (Combustible Gas) ได้แก่ แก๊สในตระกูลมีเธนและแก๊สอื่น ๆ
3. อันตรายจากการสูดดมแก๊สพิษอื่น ๆ เช่น
3.1 คาร์บอนมอนนอกไซด์ (Carbon monoxide) เป็นแก๊สไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หากมีปริมาณมากจะเป็นพิษ เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ เหตุนี้ แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์จึงมีปริมาณมากในบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น นอกจากนี้ ยังมาจากอีกหลายแหล่งกำเนิด เช่น กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์อื่น ๆ หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า เป็นต้น แก๊สชนิดนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะแทรกซึมเข้าไปกับระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้การทำงานของต่อมและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย มีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ เมื่อสัมผัสคาร์บอน-มอนนอกไซด์เข้าไป มักจะเกิดผลรุนแรง ส่วนคนปกติทั่วไป จะเกิดผลต่างกันขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคลได้แก่ ความสามารถในการมองเห็นความสามารถในการทำงานลดลง ทำให้เฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉง การเรียนรู้ลดลง หรืออาจไม่สามารถทำงานสลับซับซ้อนได้
3.2 ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen sulphide) ไม่มีสี แต่มีกลิ่นเหมือนไข่เน่า ละลายได้ในน้ำ แก๊สโซลีน แอลกอฮอล์ เกิดจากการทำปฏิกิริยาของซัลไฟด์ของเหล็กกับกรดซัลฟูริคหรือกรดไฮโดรคลอริค หรือเกิดจากการเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์ที่มีซัลเฟอร์ เป็นองค์ประกอบผลผลิตจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ปิโตรเลียม ยางสังเคราะห์ โรงงานน้ำตาล เป็นต้น เนื่องจากไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นแก๊สติดไฟได้ เมื่อติดไฟแล้วจะให้เปลวไฟสีน้ำเงินและเกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมา การสัมผัสไฮโดรเจน-ซัลไฟด์เพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและปอด หากสูดดมเข้าไปมาก ๆ อาจจะมีผลทำให้เสียชีวิตได้
3.3 ไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen dioxide) เป็นแก๊สสีน้ำตาลอ่อน อาจเป็นส่วนประกอบสำคัญ อย่างหนึ่งของหมอกที่ปกคลุมอยู่ตามเมืองทั่วไป ไนโตรเจนไดออกไซด์เกิดจากกระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ หากสูดดมเข้าไป จะทำให้ปอดระคายเคือง และภูมิต้านทานการติดเชื้อของระบบหายใจลดลงเช่น ไข้หวัดใหญ่ การสัมผัสสารในระยะสั้นๆ ยังปรากฏผลไม่แน่ชัด แต่หากสัมผัสบ่อยครั้งอาจจะเกิดผลเฉียบพลันได้
4. ประสิทธิภาพของการมองเห็นลดลง เนื่องจากแสงสว่างไม่เพียงพอหรือฝุ่นละออง
5. เสียงดัง (เสียงก้อง)
6. อุณหภูมิสูง
7. การออกจากพื้นที่เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินมีอุปสรรคและยากลำบาก
การตรวจวัดความปลอดภัยในพื้นที่อับอากาศ
ด้วยปัจจัยอันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับปริมาณอากาศหรือแก๊สในบริเวณนั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงาน นอกเหนือจากการจัดการความปลอดภัยด้านอื่น ๆ แล้ว การตรวจสอบสภาพอากาศในพื้นที่อับอากาศ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การตรวจวัดความปลอดภัยในที่นี้ จึงเน้นที่การตรวจสอบสภาพอากาศในพื้นที่อับอากาศ
วิธีการตรวจวัดสภาพอากาศ มีดังนี้
1. กำหนดตำแหน่งตรวจวัดให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงาน
2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบปริมาณแก๊สไปตรวจวัดตามจุดที่กำหนด
3. บันทึกข้อมูลที่ตรวจวัดได้นำมาวิเคราะห์ และเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
ชนิดของแก๊สที่ตรวจวัด โดยทั่วไป ชนิดของแก๊สจะขึ้นอยู่กับพื้นที่อับอากาศที่ปฏิบัติงานนั้น ๆ ซึ่งแต่ละแห่ง จะแตกต่างกันออกไป แต่แก๊สที่ตรวจสอบจะมีอย่างน้อย 4 ชนิด ดังนี้
1. แก๊สออกซิเจน (O2) หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ปริมาตร/ปริมาตร
2. แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หน่วยเป็น ppm. (Part per million)
3. แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) หน่วยเป็น ppm. (Part per million)
4. แก๊สติดไฟได้ (Combustible gas) หน่วยเป็น % LEL
การปฏิบัติงานในสถานที่อับอากาศด้วยความปลอดภัย
ก่อนเข้าทำงานในสถานที่อับอากาศ
1. ตรวจสอบปริมาณออกซิเจน สารเคมีและแก๊สอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีการขาดออกซิเจน การระเบิดหรือการเป็นพิษเกิดขึ้น
2. จัดให้มีใบอนุญาตทำงานในพื้นที่อับอากาศ
3. หากพบว่าสถานที่อับอากาศนั้น ไม่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย จะต้องทำการระบายอากาศ จนกว่าจะอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
4. ผู้ปฏิบัติงานต้องทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ทำงานนั้นเป็นอย่างดี รู้วิธีการออกจากสถานที่นั้นได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
5. การวางแผนการทำงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเข้าใจรวมทั้ง จัดอบรมด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ
ขณะทำงานในสถานที่อับอากาศ
1. ตรวจสภาพอากาศเป็นระยะและอาจต้องมีการระบายอากาศตลอดเวลาถ้าจำเป็น
2. ผู้ปฏิบัติงานต้องรู้สภาพอากาศขณะทำงานตลอดเวลา
3. จัดให้มีผู้ช่วยซึ่งผ่านการอบรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เฝ้าอยู่ปากทางเข้าออกตลอดเวลาทำงาน และสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานข้างในได้ตลอดเวลา
4. ห้ามผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่อับอากาศ
5. ห้ามสูบบุหรี่
6. จะต้องติดป้ายแจ้งข้อความเตือน “บริเวณอันตรายห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมจัดทำระบบ Lock Out/Tag Out ที่เครื่องจักรกล ระบบไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อป้องกันบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเข้ามารบกวนหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขภายในพื้นที่อับอากาศ
7. หากจำเป็นต้องพ่นสีหรือมีน้ำมันชนิดระเหย หรือต้องทำให้เกิดความร้อนหรือประกายไฟ ต้องมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
8. ผู้ปฏิบัติงานต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลตามสภาพของงาน และต้องมีเครื่องดับเพลิงประจำอยู่ในบริเวณที่มีการปฏิบัติงาน
9. ปฏิบัติงานถูกต้องตามขั้นตอนการปฏิบัติ (ถ้ามี)
10. ในกรณีฉุกเฉิน ถ้ามีผู้ปฏิบัติงานคนใดคนหนึ่งเกิดบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายในพื้นที่อับอากาศ ห้ามผู้ปฏิบัติงานคนอื่นเข้าไปช่วยเหลือหากไม่ได้รับการฝึกฝนมาหรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้
Leave a reply