Uncategorized @th
รูปทรงของกรวยจราจรและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
รูปทรงของกรวยจราจรและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
ปัจจุบันนี้ โดยปกติ กรวยจราจรที่เราเห็นกันตามท้องถนน นั้นจะเป็นรูปทรงที่เราคุ้นเคยกันมาตลอด แต่จริง ๆ แล้วกรวยจราจรนั้นมีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังสามารถหาอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ มาใช้งานร่วมกันเพื่อเพิ่มลักษณะการใช้งานที่มากขึ้น
โดยรูปทรงของกรวยจราจร จะมีหลัก ๆ ดังนี้
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
กรวยจราจรรูปทรงกรวยนั้นเป็นที่นิยม พบเห็นกันได้ทั่วไป มักวางตามพื้นถนนและพื้นที่ก่อสร้าง เขตพื้นที่อันตรายและจะติดแถบสะท้อนแสงเพื่อเพิ่มความเด่นชัด แต่ถ้าเป็นกรวยจราจรแบบที่ไม่ติดแถบสะท้อนแสงจะนิยมใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เช่นงานกีฬา เป็นต้น
-
กรวยจราจรทรงสามเหลี่ยม จะมีพื้นที่ในการทำสติกเกอร์องค์กรหรือป้ายเตือนต่าง ๆ ติดไว้ เพื่อบ่งชี้จุดประสงค์ในการวางตั้งในพื้นที่นั้น ๆ
-
กรวยจราจรรูปทรงสี่เหลี่ยม มักจะติดแถบสติกเกอร์สะท้อนแสงสลับสีขาวแดงหรือเหลืองดำ
-
กรวยจราจรทรง 8 เหลี่ยม (ผลิตจากวัสดุยางพารามีความเหนียวกว่าโพลิเมอร์) สะท้อนแสงดีกว่ากรวยจราจรรูปทรงกรวย แสงของรถจะปะทะกับเหลี่ยมทั้ง 8 ของกรวยได้ดีกว่า จึงเห็นได้ชัดกว่า กรวยจราจร 8 เหลี่ยมจะถูกออกแบบให้มีรู ทำให้ลมผ่าน ไม่ปะทะลม
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
กรวยจราจรแบบพับได้ สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการพกพา เช่น ไว้ติดรถยนต์เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ส่วนอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ของกรวยจราจร ที่นิยมใช้งานกัน จะมีดังนี้
-
ยางเพิ่มน้ำหนัก ใช้เพิ่มน้ำหนักกรวย เพื่อป้องกันการล้มและเคลื่อนที่จากการเฉี่ยวชนจากรถยนต์หรือแรงลม แต่บางรุ่นก็อาจจะมีฐานยางมาอยู่แล้ว
-
หัวสวมกรวยจราจร เพื่อเพิ่มความสูงอีก 10 เซนติเมตร เช่น จาก 80 เป็น 90 เซนติเมตร
-
ป้ายติดกรวยจราจร เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์จราจรหรือติดโลโก้ หรือโฆษณาร้านค้าต่าง ๆ ได้
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
ห่วงคล้องโซ่ ใช้สวมกับกรวยจราจรได้ทุกขนาด เพื่อใช้โซ่คล้องระหว่างกรวยสำหรับกั้นเขต จัดพื้นที่ เพื่อความเป็นระเบียบ
รายละเอียดเพิ่มเติม
-
ไฟกระพริบ ใช้ติดบริเวณด้านบนของกรวย เพื่อใช้ในการงานก่อสร้างหรือพื้นที่อันตราย เพิ่มความเด่นชัดในเวลากลางคืน
รายละเอียด ยูโรเทป
รายละเอียด ไม้กั้นเขต
รายละเอียด โซ่พลาสติก
-
อุปกรณ์กั้นเขต ใช้สำหรับกั้นบุคคลหรือยานพาหนะเข้าพื้นที่นั้น ๆ อุปกรณ์กั้นเขตจะมีหลายประเภท ทั้งแบบสายไฟ LED, โซ่กั้นเขต, เทปยูโรยืดได้หดได้ (หรือเทปยูโรแบบพันใช้แล้วทิ้งก็ได้), ไม้กั้นเขต (บาริเคต) แบบยืดได้และแบบยืดไม่ได้
Uncategorized @th
วัสดุที่ใช้ทำ “กรวยจราจร” มีอะไรบ้าง
วัสดุที่ใช้ทำกรวยจราจรมีอะไรบ้าง
ในปัจจุบันนี้ กรวยจราจรนั้นมีหลากหลายรูปแบบ และก็ยังสามารถเลือกวัสดุที่ใช้ผลิตได้ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ในครั้งนี้ เราจะมาจำแนกวัสดุที่ใช้ผลิตกรวยจราจรว่า แต่ละวัสดุมีคุณสมบัติความแตกต่างอย่างไรบ้าง
กรวยจราจรนั้น โดยปกติแล้ว จะใช้สำหรับแบ่งเขตถนน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย สามารถบ่งบอกพื้นที่ต่าง ๆ ป้องกันเป็นพื้นที่ห้ามเข้า ซึ่งกรวยจราจรที่ใช้งานได้มาตรฐานนั้น จะต้องมีสีสันใส สะดุดตา มองเห็นได้ง่าย หรืออาจจะมีคาดแถบสะท้อนแสง เพื่อเพิ่มจุดสังเกตให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานในเวลากลางคืนอีกด้วย
วัสดุที่นิยมนำมาผลิตกรวยจราจร โดยปกติแล้วจะมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
-
EVA (Ethylene Vinyl Acetate)
เป็นวัสดุพลาสติกที่ย่อยสลายได้ มีความยืดหยุ่น สามารถโค้งงอได้ดี น้ำหนักเบา ขึ้นรูปได้ง่าย มีความทนทานต่อสภาพอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมได้ดี ให้สีสันที่สดใส ทนต่อแรงกระแทก การกัดกร่อนของสารเคมี
-
PE (Polyethylene)
มีความขุ่น โปร่งแสง มีความลื่นมันในตัวเอง เมื่อสัมผัสจึงรู้สึกลื่น มีความยืดหยุ่นได้ดี ไม่มีกลิ่น มีความเหนียว แต่ทนความร้อนได้ไม่มากนัก
-
HDPE (High Density Polyethylene)
มีความหนาแน่น ยืดหยุ่น ทนต่อแรงต้านทานได้ดี น้ำหนักเบา ทนต่อการแตกหัก โค้งงอได้ดีกว่าวัสดุ PE ชนิดอื่น ๆ มีความขุ่น แสงสามารถลอดผ่านได้น้อย สามารถป้องกันกรดและด่างได้ดี ป้องกันการซึมผ่านของความชื้นได้ดีมาก นิยมใช้ ในการผลิตงานจากพลาสติกที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น ถุงร้อน ท่อทนสารเคมี ท่อน้ำประปา ถังน้ำ เป็นต้น
-
PVC (Poly vinyl chloride)
มีความทนทาน น้ำหนักเบา มีอายุการใช้งานยาวนาน ทนทานต่อสารเคมี เป็นฉนวนไฟฟ้าได้อย่างดี ไม่ดูดซับความชื้น แต่ทนทานความร้อนได้ไม่ดีนัก และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นวัสดุสำหรับใช้ผลิตกรวยจราจรที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีราคาที่แตกต่างกัน (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดความสูงด้วย) ผู้ใช้งานควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคงทนสูงสุด
*ทั้งนี้ ท่านสามารถเลือกชมอุปกรณ์จราจรชนิดอื่น ๆ ได้ที่นี่*
Uncategorized @th
ไม่ประมาท…ไม่เกิดอัคคีภัย
ไม่ประมาท ไม่เกิดอัคคีภัย
เราทั้งหลายนั้นพอทราบกันดีอยู่แล้วว่า การเกิดเพลิงไหม้หรืออัคคีภัยนั้น ทำให้เกิดความสูญเสียที่ร้ายแรงอย่างมากทั้งต่อสภาพแวดล้อมและทรัพย์สิน โดยเฉพาะต่อสภาพจิตใจของผู้ที่สูญเสีย ฉะนั้นครั้งนี้ ศิราเซฟตี้ จะมาอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ และวิธีลดความเสี่ยงของการเกิดอัคคีภัยให้ได้ทราบกันครับ
เพลิงไหม้เกิดขึ้นได้อย่างไร
การเกิดเพลิงไหม้จะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆได้คือ
– เหตุที่เกิดจากความตั้งใจ เช่น การวางเพลิง ซึ่งมีอาจมีจูงใจที่ต่างกันออกไป
– เหตุที่เกิดจากความประมาท ขาดความระมัดระวัง โดยจะแยกได้เป็น 2 ประเด็น คือ การทำให้เชื้อเพลิงแพร่กระจาย และการใช้ไฟหรือใช้ความร้อน
การป้องกันและลดการเกิดอัคคีภัย
1. การจัดทำแผนการเพื่อป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบการ
2. จัดให้มีการฝึกอบรมดับเพลิงขั้นต้นให้กับพนักงาน
3. ติดตั้งระบบการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่ได้มาตรฐาน และมีการตรวจสอบระบบให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเสมอ
4. การติดตั้งถังดับเพลิงที่ได้มาตรฐานตามประเภทของไฟอย่างครบถ้วนและครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง
5. ให้ลูกจ้างได้รับการฝึกซ้อมดับเพลิงและหนีไฟตามเส้นทางที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ
6. มีการติดตั้งสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่ชัดเจน
7. มีการแยกเก็บวัตถุที่อาจก่อให้เกิดการลุกไหม้เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย พร้อมมีป้ายเตือนอย่างชัดเจน
8. มีการสำรวจพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม อัคคีภัยนั้นยังสามารถเกิดขึ้นและป้องกัน ได้โดยวิธีอื่นเช่นกัน แต่สาเหตุส่วนใหญ่แล้วล้วนเกิดจากความประมาท ดังนั้นการที่มีสติและสมาธิในการทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัยได้
Uncategorized @th
เสียง…ภัยอันตรายที่ถูกมองข้าม
เสียง…ภัยอันตรายที่ถูกมองข้าม
การได้ยิน นั้นเป็นประสาทรับรู้อีกทางหนึ่งมีความสำคัญกับการดำรงชีวิตเราเป็นอย่างมาก เพราะว่าการได้ยินจะช่วยให้เรามีความเข้าใจและเข้าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญในการใช้ชีวิต
แต่ทว่า หูเราสามารถฟังเสียงได้ในขอบเขตจำกัด ซึ่งถ้าเสียงดังเกินไปก็จะสามารถทำให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นหูตึงหรือแม้กระทั่งหูหนวกก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม การที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังบ่อยๆนั้น ยังส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเครียด หรือแม้กระทั่ง เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากเสียงดังทำให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยบ่อยขึ้น
แล้วเสียงดังแค่ไหนจะทำให้เกิดอันตราย?
สำหรับมาตรฐานของเมืองไทย กำหนดให้ความดังที่ได้รับติดต่อกันไม่เกิน 90 เดซิเบล หากทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมง และไม่เกิน 80 เดซิเบล หากทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำงานกับเสียงดังตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จะมีความเสี่ยงต่ออันตรายต่างๆน้อยลง หากสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียง
แล้วจะป้องกันอันตรายจากเสียงได้อย่างไรบ้าง?
การป้องกันอันตรายที่เกิดจากเสียง จะแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
– ป้องกันจากแหล่งกำเนิดเสียง โดยวิธีการบำรุงรักษาเครื่องจักรเพื่อให้เกิดเสียงได้น้อยที่สุด
– ป้องกันการเดินทางของเสียง โดยวิธีใช้โครงสร้างหรือวัสดุที่ลดเสียงได้
– ป้องกันที่ผู้รับเสียง โดยการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียง
ถึงแม้วิธีทั้งหมดนี้ จะสามารถช่วยลดอันตรายได้ เราก็ควรสร้างทัศนคติและระเบียบวินัยที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดจากเสียงอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากมลภาวะที่เราจำเป็นต้องทำงานอยู่กับมัน
Uncategorized @th
ทำงานร่วมกับสารเคมี ควรปฏิบัติอย่างไร
ทำงานร่วมกับสารเคมี ควรปฏิบัติอย่างไร
สารเคมี คือ สารอนินทรีย์ หรือสารอินทรีย์ ที่อาจอยู่ในธรรมชาติหรือถูกสังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งจะอยู่ในสถานะ ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส
โดยสารเคมีนั้นสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง ได้แก่ ทางปาก ทางลมหายใจ ทางผิวหนัง
สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับสารเคมีนั้น ควรทราบแนวทางการปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับสารเคมี เพื่อให้การทำงานนั้นไม่เกิดอันตรายขึ้น โดยข้อแรกคือ
1. การป้องกันที่แหล่งกำเนิด อย่างเช่น การใช้สารเคมีที่มีพิษน้อยกว่า หรือปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดสารเคมีและมลพิษ แต่ถ้าวิธีข้างต้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ก็อาจจะมีการติดตั้งระบบระบายอากาศ และมีแผนการควบคุม บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานกับสารเคมี เพื่อให้บรรยากาศในที่ทำงานมีความปลอดภัยมากขึ้น
2.การป้องกันที่ทางผ่าน คือ การดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ ระบายอากาศอย่างพอเหมาะอยู่ตลอดเวลา หรือไม่เราอาจจะเพิ่มระยะห่างระหว่างแหล่งกำเนิดกับผู้ปฏิบัติงาน หรือแม้กระทั่งทำความสะอาดเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับสารเคมี ก็สามารถช่วยได้
3. การป้องกันที่ตัวผู้ปฏิบัติงาน โดยจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับสารเคมีอย่างไรให้ปลอดภัย และควรมีการหมุนเวียนผู้ปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณนั้นๆ นานจนเกินไป อีกทั้งผู้ปฏิบัติงานควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันสารเคมี และจำเป็นต้องตรวจสุขภาพเพื่อเฝ้าระวังเป็นระยะ
อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากสารเคมี ก็จะอยู่หลายชนิดดังนี้
1.อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ เช่น หมวกยาง หรือหมวกแข็ง
2. อุปกรณ์ป้องกันใบหน้า ดวงตา เช่น กะบังหน้า แว่นตาการสารเคมี
3. อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ เช่น หน้ากากป้องกันสารเคมี
4. อุปกรณ์ป้องกันมือ เช่น ถุงมือยาง
5. อุปกรณ์ป้องกันลำตัว เช่น ชุดป้องกันสารเคมีแบบใช้แล้วทิ้ง ชุด PVC
6. อุปกรณ์ป้องกันเท้า เช่น รองเท้ายาง รองเท้าบูท
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อได้รับอันตรายจากสารเคมี
– ถ้าได้รับอันตรายจากสารเคมีโดยการรับประทาน ให้ลดอัตราการดูดซึม โดยให้ผู้ป่วยรีบดื่มนมหรือน้ำเปล่าตามทันที (ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ชักหรือสลบเท่านั้น) อีกทั้งถ้าสารเคมีมีฤทธิ์เป็นกรด ด่าง ที่มีกลิ่น ห้ามทำให้อาเจียน และควรพบแพทย์ทันที
– ถ้าได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่ถูกสารเคมีโดยใช้น้ำสะอาดให้ได้มากที่สุด ห้ามใช้ยาแก้พิษใดๆ เทลงผิวหนัง เพราะอาจจะเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดแผลมากกว่าเดิม
– ถ้าได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดให้มากที่สุด โดยให้น้ำไหลผ่านดวงตาอย่างน้อย 15 นาที แล้วรีบส่งนำส่งแพทย์ทันที
– ถ้าได้รับอันตรายจากสารเคมีในการสูดดม ให้ผู้ปฏิบัติงานนั้นออกจากบริเวณนั้นๆ ทันที และช่วยผายปอด หรือกระตุ้นลมหายใจด้วยยาดมฉุนๆ
อย่างไรก็ตามการทำงานกับสารเคมี เป็นงานที่มีความอันตรายจากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ผู้ปฏิบัติงานควรมีติอยู่กับงานอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ที่ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
Uncategorized @th
ศิราเซฟตี้ ร่วมทำบุญช่วยเหลือเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน
ในวันที่ 14 ตุลาคม 2560 ผู้บริหารพร้อมด้วยพนักงาน บริษัท ศิราเซฟตี้แอนด์ทูล จำกัด
ร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็นและทุนทรัพย์ ให้โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา (บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน) พร้อมทั้งเข้าเยี่ยมน้องๆ
โดยโรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรานี้ เป็นมูลนิธิเพื่อคนตาบอดในพระบรมราชูปถัมภ์ สำหรับเด็กที่ตาบอดพิการซ้ำซ้อน ให้ได้มีโอกาสรับการอบรมเลี้ยงดูและเรียนรู้ตามศักยภาพของตนเอง เพื่อการฟื้นฟูศักยภาพในด้านต่างๆ อย่างเหมาะสม
Uncategorized @th
เลือกหน้ากากอนามัยอย่างไร ให้ถูกต้องตามความต้องการ
เลือกหน้ากากอนามัยอย่างไร ให้ถูกต้องตามความต้องการ
ในปัจจุบันนี้ หน้ากากอนามัยนั้น มีการผลิตขึ้นมาให้เลือกใช้อย่างมากมาย เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมตรงตามจุดประสงค์ เพราะฉะนั้นเราควรเลือกหน้ากากให้ถูกต้องกับสิ่งที่เราต้องการป้องกัน
โดยปกติ จุดประสงค์ที่เราใช้หน้ากาก ก็เพื่อป้องกันเชื้อโรค ป้องกันฝุ่น หรือแม้กระทั้งเพื่อป้องกันกลิ่นควันพิษต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราก็ใช้หน้ากากอยู่ประเภทเดียว ซึ่งเป็นหน้ากากอนามัยแบบเยื้อกระดาษ 3 ชั้น ที่มีสีขาว สีเขียว หรือสีฟ้า ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งสามารถป้องกันละอองฝุ่น ละอองน้ำ ป้องกันเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่ง
แต่หารู้ไม่ว่า หน้ากากอนามัยชนิดนี้ ไม่สามารถใช้เพื่อป้องกันควันพิษ หรือป้องกันกลิ่นได้เลย ซึ่งหน้ากากอนามัยที่เราเลือกใช้เพื่อป้องกันเชื้อโรค ฝุ่นละออง ควันพิษ และกันกลิ่น จะเป็นหน้ากากอนามัย 4 ชั้น เสริมชั้นคาร์บอน สีเทา ดำ
โดยประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยเสริมคาร์บอนนั้น มีดังนี้
– ป้องกันฝุ่นละออง
– ป้องกันของละอองของเหลวซึมผ่าน
– ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากการไอหรือจาม (สามารถช่วยป้องกันเชื้อโรคจำพวกเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา แต่ถ้าเป็นเชื้อไวรัส ซึ่งมีอนุภาคเล็กระดับไมครอน จะไม่สามารถป้องกันได้ จำเป็นต้องใช้หน้ากากชนิด N95)
– ป้องกันมลพิษ ควันพิษ ไอเสียรถยนต์ กลิ่นไม่พึงประสงค์ และไอของสารเคมี
หน้ากากอนามัย 4 ชั้น เสริมคาร์บอน เป็นหน้ากากที่เหมาะสำหรับ ใช้ในที่ที่มีความแออัด หรือแม้กระทั่งใส่ในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป เป็นต้น
อีกปัญหาหนึ่งของการใช้หน้ากากอนามัยนั้น คือการใช้งานให้ถูกวิธี โดยอาจจะยังมีผู้ใช้ส่วนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจว่าต้องใส่ด้านไหน ดังนั้นเราจะมาบอกวิธีใส่หน้ากากอนามัยให้ทราบกัน
1. ล้างมือให้สะอาด ก่อนหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมใส่
2. จับสายคล้องหูทั้ง 2 ข้าง โดยหันด้านสีเข้มออกด้านนอก แถบสแตนเลสอยู่ด้านบน รอยจีบคว่ำลง
3. สวมหน้ากาก ให้สายคล้องหูกระชับ
4. ดัดแถบสแตนเลสให้กระชับกับสันจมูก และดึงหน้ากากด้านล่างลงมาให้คลุมใต้คาง
เรายังมีข้อปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1. เมื่อหน้ากากอนามัยเปรอะเปื้อน มีความชื้น หรือชำรุดควรเปลี่ยนชิ้นใหม่ทันที
2. ถ้าต้องการถอดหน้ากาก ให้จับที่บริเวณสายคล้องหูเท่านั้น เพราะตัวหน้ากากจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
3. ควรทิ้งหน้ากากลงในภาชนะที่มีฝาปิด หรือให้ใส่ถุงแล้วมัดปากถุงก่อนทิ้งลงถังขยะ
4. ควรเปลี่ยนทุกวัน ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ
เมื่อเราได้ใช้หน้ากากถูกประเภทและถูกวิธีแล้ว เราจะสามารถป้องกันอันตรายที่เกิดจากมลภาวะได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษ
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ครับ คลิ๊กที่นี่
Uncategorized @th
อันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศ
อันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศ
พื้นที่อับอากาศ (Confined Space) เป็นสถานที่ที่มีทางเข้าและออกอย่างจำกัด ซึ่งมีการระบายอากาศไม่เพียงพอที่จะทำให้อากาศภายในที่นั้น ๆ อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย โดยอาจเป็นที่สะสมของสารเคมีที่เป็นพิษ สารไวไฟ รวมทั้ง มีออกซิเจนไม่เพียงพอสำหรับการหายใจ เช่น ถังน้ำมัน ถังหมัก ท่อ ถัง ถ้ำ บ่อ อุโมงค์ เตา ห้องใต้ดิน ภาชนะ หรือสถานที่อื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน การพิจารณาว่า พื้นที่ใดจัดเป็นพื้นที่อับอากาศ มีปัจจัยในการพิจารณาดังนี้
1. พื้นที่ซึ่งมีขนาดเล็ก แก๊สหรือไอที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น ไม่สามารถระบายออกไปได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่จำเป็นต้องทำงานในบริเวณนั้น โดยอาจสูดดมเอาแก๊สพิษเข้าไปในร่างกาย หรือมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการหายใจ รวมถึง อาจมีแก๊สที่สามารถติดไฟได้ในบริเวณนั้น
2. ผู้ปฏิบัติงานคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกพื้นที่นั้น จะเข้าไปสังเกตการณ์หรือช่วยเหลือผู้ที่กำลังปฏิบัติงานได้ยาก
3. ทางเข้า-ออก อยู่ไกลจากจุดปฏิบัติงาน มีขนาดเล็ก หรือมีจำนวนจำกัด
อันตรายจากการปฏิบัติงานในพื้นที่อับอากาศ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพนักงานและความเสียหายอย่างอื่น เช่น ทรัพย์สินหรืออาจถึงชีวิต ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. การขาดออกซิเจน
2. เกิดไฟไหม้ เนื่องจากการระเบิดของแก๊สที่ติดไฟได้ (Combustible Gas) ได้แก่ แก๊สในตระกูลมีเธนและแก๊สอื่น ๆ
3. อันตรายจากการสูดดมแก๊สพิษอื่น ๆ เช่น
3.1 คาร์บอนมอนนอกไซด์ (Carbon monoxide) เป็นแก๊สไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หากมีปริมาณมากจะเป็นพิษ เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ เหตุนี้ แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์จึงมีปริมาณมากในบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น นอกจากนี้ ยังมาจากอีกหลายแหล่งกำเนิด เช่น กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์อื่น ๆ หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า เป็นต้น แก๊สชนิดนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะแทรกซึมเข้าไปกับระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้การทำงานของต่อมและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย มีประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจ เมื่อสัมผัสคาร์บอน-มอนนอกไซด์เข้าไป มักจะเกิดผลรุนแรง ส่วนคนปกติทั่วไป จะเกิดผลต่างกันขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคลได้แก่ ความสามารถในการมองเห็นความสามารถในการทำงานลดลง ทำให้เฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉง การเรียนรู้ลดลง หรืออาจไม่สามารถทำงานสลับซับซ้อนได้
3.2 ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen sulphide) ไม่มีสี แต่มีกลิ่นเหมือนไข่เน่า ละลายได้ในน้ำ แก๊สโซลีน แอลกอฮอล์ เกิดจากการทำปฏิกิริยาของซัลไฟด์ของเหล็กกับกรดซัลฟูริคหรือกรดไฮโดรคลอริค หรือเกิดจากการเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์ที่มีซัลเฟอร์ เป็นองค์ประกอบผลผลิตจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ปิโตรเลียม ยางสังเคราะห์ โรงงานน้ำตาล เป็นต้น เนื่องจากไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นแก๊สติดไฟได้ เมื่อติดไฟแล้วจะให้เปลวไฟสีน้ำเงินและเกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมา การสัมผัสไฮโดรเจน-ซัลไฟด์เพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและปอด หากสูดดมเข้าไปมาก ๆ อาจจะมีผลทำให้เสียชีวิตได้
3.3 ไนโตรเจนไดออกไซด์ (Nitrogen dioxide) เป็นแก๊สสีน้ำตาลอ่อน อาจเป็นส่วนประกอบสำคัญ อย่างหนึ่งของหมอกที่ปกคลุมอยู่ตามเมืองทั่วไป ไนโตรเจนไดออกไซด์เกิดจากกระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ หากสูดดมเข้าไป จะทำให้ปอดระคายเคือง และภูมิต้านทานการติดเชื้อของระบบหายใจลดลงเช่น ไข้หวัดใหญ่ การสัมผัสสารในระยะสั้นๆ ยังปรากฏผลไม่แน่ชัด แต่หากสัมผัสบ่อยครั้งอาจจะเกิดผลเฉียบพลันได้
4. ประสิทธิภาพของการมองเห็นลดลง เนื่องจากแสงสว่างไม่เพียงพอหรือฝุ่นละออง
5. เสียงดัง (เสียงก้อง)
6. อุณหภูมิสูง
7. การออกจากพื้นที่เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินมีอุปสรรคและยากลำบาก
การตรวจวัดความปลอดภัยในพื้นที่อับอากาศ
ด้วยปัจจัยอันตรายจากการทำงานในพื้นที่อับอากาศส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับปริมาณอากาศหรือแก๊สในบริเวณนั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติงาน นอกเหนือจากการจัดการความปลอดภัยด้านอื่น ๆ แล้ว การตรวจสอบสภาพอากาศในพื้นที่อับอากาศ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การตรวจวัดความปลอดภัยในที่นี้ จึงเน้นที่การตรวจสอบสภาพอากาศในพื้นที่อับอากาศ
วิธีการตรวจวัดสภาพอากาศ มีดังนี้
1. กำหนดตำแหน่งตรวจวัดให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงาน
2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบปริมาณแก๊สไปตรวจวัดตามจุดที่กำหนด
3. บันทึกข้อมูลที่ตรวจวัดได้นำมาวิเคราะห์ และเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
ชนิดของแก๊สที่ตรวจวัด โดยทั่วไป ชนิดของแก๊สจะขึ้นอยู่กับพื้นที่อับอากาศที่ปฏิบัติงานนั้น ๆ ซึ่งแต่ละแห่ง จะแตกต่างกันออกไป แต่แก๊สที่ตรวจสอบจะมีอย่างน้อย 4 ชนิด ดังนี้
1. แก๊สออกซิเจน (O2) หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ปริมาตร/ปริมาตร
2. แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หน่วยเป็น ppm. (Part per million)
3. แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) หน่วยเป็น ppm. (Part per million)
4. แก๊สติดไฟได้ (Combustible gas) หน่วยเป็น % LEL
การปฏิบัติงานในสถานที่อับอากาศด้วยความปลอดภัย
ก่อนเข้าทำงานในสถานที่อับอากาศ
1. ตรวจสอบปริมาณออกซิเจน สารเคมีและแก๊สอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีการขาดออกซิเจน การระเบิดหรือการเป็นพิษเกิดขึ้น
2. จัดให้มีใบอนุญาตทำงานในพื้นที่อับอากาศ
3. หากพบว่าสถานที่อับอากาศนั้น ไม่อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย จะต้องทำการระบายอากาศ จนกว่าจะอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
4. ผู้ปฏิบัติงานต้องทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ทำงานนั้นเป็นอย่างดี รู้วิธีการออกจากสถานที่นั้นได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
5. การวางแผนการทำงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเข้าใจรวมทั้ง จัดอบรมด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ
ขณะทำงานในสถานที่อับอากาศ
1. ตรวจสภาพอากาศเป็นระยะและอาจต้องมีการระบายอากาศตลอดเวลาถ้าจำเป็น
2. ผู้ปฏิบัติงานต้องรู้สภาพอากาศขณะทำงานตลอดเวลา
3. จัดให้มีผู้ช่วยซึ่งผ่านการอบรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เฝ้าอยู่ปากทางเข้าออกตลอดเวลาทำงาน และสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานข้างในได้ตลอดเวลา
4. ห้ามผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่อับอากาศ
5. ห้ามสูบบุหรี่
6. จะต้องติดป้ายแจ้งข้อความเตือน “บริเวณอันตรายห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมจัดทำระบบ Lock Out/Tag Out ที่เครื่องจักรกล ระบบไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อป้องกันบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานเข้ามารบกวนหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขภายในพื้นที่อับอากาศ
7. หากจำเป็นต้องพ่นสีหรือมีน้ำมันชนิดระเหย หรือต้องทำให้เกิดความร้อนหรือประกายไฟ ต้องมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม
8. ผู้ปฏิบัติงานต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลตามสภาพของงาน และต้องมีเครื่องดับเพลิงประจำอยู่ในบริเวณที่มีการปฏิบัติงาน
9. ปฏิบัติงานถูกต้องตามขั้นตอนการปฏิบัติ (ถ้ามี)
10. ในกรณีฉุกเฉิน ถ้ามีผู้ปฏิบัติงานคนใดคนหนึ่งเกิดบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายในพื้นที่อับอากาศ ห้ามผู้ปฏิบัติงานคนอื่นเข้าไปช่วยเหลือหากไม่ได้รับการฝึกฝนมาหรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้
Uncategorized
เตือนภัย! สิ่งที่ควรระวังในฤดูฝน
ในช่วงนี้ เป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนฤดูเข้าฤดูฝนแล้ว ซึ่งในเวลาที่มีฝนตก อาจจะเป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น เราจำเป็นต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งยังจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพร่างกายให้ปลอดภัยจากโรคภัยต่าง ๆ เช่นกัน ในวันนี้ทางเราจะมาสรุปความเสี่ยงที่อาจจะเกิดในช่วงฤดูฝน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ขึ้น
1. อุบัติเหตุทางจราจร
ในหน้าฝน อุบัติเหตุทางจราจร จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะว่าบนพื้นถนนจะมีความลื่นหรืออาจมีน้ำขังตามทาง หรือแม้กระทั่งในขณะที่ฝนกำลังตก อาจจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนตามปกติ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจจะรุนแรงและสร้างความสูญเสียให้กับผู้ประสบเหตุจนถึงชีวิตได้ ดังนั้น ในช่วงหน้าฝน ผู้ขับขี่ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เตรียมสภาพรถให้พร้อม โดยอาจจะมีการตรวจสอบระบบไฟให้อยู่สภาพใช้งานได้ดี หากพบเห็นอุบัติเหตุหรือประสบอุบัติเหตุ ควรรีบโทรสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยผู้พบเห็นหรือผู้ประสบเหตุไม่ควรทำการเคลื่อนย้ายผู้ประสบเหตุ เพราะอาจจะช่วยเหลือวผิดวิธี ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเป็นอันตรายมากขึ้น ดังนั้นควรรอเจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือ
2. อันตรายจากไฟฟ้าดูดและไฟฟ้าช็อต
อุบัติเหตุที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่อาจจะพบได้ช่วงหน้าฝน ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเกิดไฟฟ้ารั่วตามเสาไฟฟ้า โดยบริเวณโดยรอบ ๆ ของเสาไฟฟ้าที่เกิดไฟรั่ว อาจจะมีน้ำขังอยู่ตามพื้น ซึ่งน้ำสามารถนำไฟฟ้าได้ดี โดยเราอาจจะไปเหยียบน้ำโดยที่เราไม่รู้ตัว และทำให้ไฟฟ้าช็อตจนเสียชีวิตได้
สำหรับการป้องกันเหตุการณ์นี้ เราควรหลีกเลี่ยงไม่เดินเหยียบหรือลุยน้ำ ตามที่ที่มีน้ำขังหรือท่วมบริเวณเสาไฟฟ้า หรือถ้าจำเป็นที่จะต้องเดินไปในบริเวณนั้น ๆ ควร สวมใส่รองเท้าบูทยางเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเราถูกน้ำโดยตรง อีกทั้งยางนั้นเป็นฉนวนไฟฟ้า ทำให้ไม่เป็นสื่อนำจนมาสัมผัสกับผู้ใส่ได้
3. ฟ้าผ่า-งดใช้โทรศัพท์มือถือ
โดยปกติแล้วในหน้าฝน จะมีก้อนเมฆเยอะ ซึ่งปกติก้อนเมฆจะมีประจุลบและบวก(อิเล็กตรอน) อยู่ในตัวอยู่แล้ว เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟ้าผ่าได้ง่ายกว่า โดยถ้าหากเราอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น ในตัวอาคาร ที่สำคัญ ให้หลีกเลี่ยงการหลบบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ หากหาที่หลบไม่ได้ ให้หมอบลงหรือนั่งยอง ๆ ให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด นอกจากนี้ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับสิ่งนำไฟฟ้าทุกชนิด เช่น เงิน ทองแดง เป็นต้น ทั้งนี้ให้งดการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่มีฝนฟ้าคะนอง ซึ่งอาจจะมีโอกาสเป็นตัวเหนี่ยวนำไฟฟ้ามายังเสาสัญญาณขณะใช้งานโทรศัพท์
อย่างไรก็ตามหากผู้ถูกฟ้าผ่าหัวใจหยุดเต้น หมดสติไม่รู้สึกตัว ต้องรีบช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ หรือ CPR ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
4. อันตรายสัตว์มีพิษ
ช่วงเข้าฤดูฝนซึ่งมีอากาศชื้น เราควรต้องระวังสัตว์ที่มีพิษชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแมงป่อง ตะขาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ งู ควรหลีกเลี่ยงการเดินในที่รกมีหญ้าสูง โดยเฉพาะเวลากลางคืน ถ้าจำเป็นต้องเดินผ่านควรใส่รองเท้าบูทยาว ใส่กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว เตรียมไฟฉายและไม้
ถ้าถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการล้างแผลด้วยน้ำสะอาด บีบเลือดบริเวณบาดแผลออกเท่าที่ทำได้ ไม่ควรใช้ปากดูดเลือดออก และไม่ควรใช้ผ้าหรือเชือกรัดแบบขันชะเนาะเหนือบริเวณที่ถูกกัดแน่นเกินไป เพราะจะทำให้แขนขาส่วนปลายขาดเลือดไปเลี้ยง หากจะรัดควรรัดให้แน่นพอสมควร และรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
5. โรคภัยไข้เจ็บ
เมื่อถึงหน้าฝน อากาศจะเริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูง สภาพอากาศแบบนี้ เชื้อโรคจะสามารถแพร่ระบาดได้อย่างเร็วกว่า อีกทั้งยังสามารถก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้หลายโรค เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ เป็นต้น ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับอากาศหรือที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ผู้ป่วย ควรสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกันเชื้อโรคต่าง ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ในหน้าฝน ยังเป็นเหตุให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้ เช่น อาหารเป็นพิษ อุจจาระร่วง เป็นต้น ดังนั้น จึงควรระมัดระวังอาหารการกิน โดยรับประทานอาหารที่สุกใหม่ ๆ สะอาด และใช้ช้อนกลาง
จากที่ได้สรุปมานี้ เป็นเหตุที่เราสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ทั้งสิ้น ทางเราจึงหวังว่าข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยให้ท่านผู้อ่านระมัดระวังและปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้มากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
หน้ากากอนามัย ผ้าปิดจมูก คลิกที่นี่
รองเท้าบูทกันน้ำ คลิกที่นี่
# เตือนภัย สิ่งที่ควรระวังในฤดูฝน
Uncategorized @th
รู้จักและเข้าใจกับอุปกรณ์ป้องกันการหายใจ
รู้จักและเข้าใจกับอุปกรณ์ป้องกันการหายใจ
ในครั้งนี้ เรามาทำความเข้าใจกับอุปกรณ์ป้องกันการหายใจกันครับ โดยอุปกรณ์ป้องกันการหายใจ นั้นเป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางปอด ซึ่งเกิดจากการหายใจเอามลพิษ เช่น อนุภาค แก๊สและไอระเหยที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศหรือเกิดจากปริมาณออกซิเจนในอากาศไม่เพียงพอ
อุปกรณ์ป้องกันทางหายใจสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. หน้ากากกรองอนุภาค
เป็นหน้ากากที่ทำหน้าที่กรองอนุภาคที่ลอยในอากาศ ซึ่งได้แก่ ฝุ่น ฟูม ควัน โดยส่วนประกอบที่สำคัญของหน้ากากกรองอนุภาค มีดังนี้
– ส่วนหน้ากาก มี 2 ขนาด โดยมีขนาดครึ่งหน้าหรือขนาดเต็มหน้า
– ส่วนกรองอากาศ ประกอบด้วยวัสดุกรองอากาศ (Filter) โดยที่นิยมใช้จะมี 3 ลักษณะ คือ
* ชนิดแผ่น ผลิตจากเส้นใยอัด ที่มีความพอเหมาะสำหรับกรองอนุภาค โดยให้มีประสิทธิภาพในการกรองอากาศสูงสุด และแรงต้านทานต่อการหายใจน้อยที่สุด
* ชนิดที่วัสดุกรองอากาศ ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในตลับแบบหลวมๆ เหมาะสำหรับกรองฝุ่น
* ชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยนำวัสดุกรองอากาศที่มีลักษณะเป็นแผ่นบางมาพับขึ้นลง ให้เป็นจีบบรรจุในตลับ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสำหรับอนุภาคที่จะไปเกาะ และลดแรงต้านการหายใจ
– สายรัดศีรษะ สามารถปรับได้ตามต้องการเพื่อให้กระชับกับผู้สวมใส่อยู่เสมอ
ทั้งนี้ ยังมีหน้ากากกรองอนุภาคชนิดที่ใช้แล้วทิ้งอีกด้วย โดยส่วนประกอบของหน้ากาก จะมี หน้ากากและวัสดุกรอง ซึ่งจะรวมเป็นชิ้นเดียวกัน ส่วนบนของหน้ากากมีแผ่นโลหะอ่อนที่สามารถปรับให้โค้งงอตามแนวสันจมูกได้ เพื่อช่วยให้หน้ากากกระชับและแนบกับใบหน้าของผู้สวมใส่
2.หน้ากากกรองแก๊สไอระเหย ทำหน้าที่กรองแก๊ส และไอระเหยต่าง ๆ
ส่วนประกอบที่สำคัญของหน้ากากกรองแก๊สและไอระเหย คือ
– ส่วนหน้ากาก จะเป็นลักษณะเดียวกับหน้ากากป้องกันอนุภาค สามารถใช้ร่วมกันได้
– ส่วนกรองอากาศ เป็นตลับกรองหรือเป็นกระป๋องบรรจุสารเคมี ซึ่งเป็นตัวดูดซับมลพิษหรือทำปฏิกิริยากับมลพิษ ทำให้อากาศที่ผ่านตลับกรองสะอาด ปราศจากมลพิษ ส่วนตัวกรองอากาศนี้สามารถใช้ได้เฉพาะสำหรับแก๊สหรือไอระเหยในแต่ละประเภทตามที่ระบุไว้เท่านั้น เช่น ตลับกรองอากาศที่ใช้กรองกรดแก๊ส จะสามารถกรองได้เฉพาะกรดแก๊สเท่านั้น และจะไม่สามารถป้องกันมลพิษชนิดอื่นได้ ดังนั้นผู้ใช้ควรเลือกซื้อและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของมลพิษที่จะป้องกัน
โดยที่ American National Standard ได้กำหนดมาตรฐาน ANSI K 13.1-1973 ขึ้นเพื่อตั้งรหัสสีของตลับกรองสำหรับกรองแก๊ส และไอระเหยชนิดต่างๆ โดยกำหนดดังนี้
หน้ากากกรองแก๊สและไอระเหย จะมีอยู่ 3 ประเภท คือ
– หน้ากากกรองแก๊สและไอระเหยชนิดตลับกรองสารเคมี เป็นตลับกรองที่สามารถป้องกันแก๊ส และไอระเหยที่ปนเปื้อนในอากาศ ที่ความเข้มข้นประมาณ 10-1,000 ppm. (ppm = part per million) ไม่เหมาะที่จะใช้ในกรณีที่มีความเข้มข้นสูงในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตทันที (Immediately dangerous to life or health level – IDHL) ยกเว้นในกรณีที่ใช้หนีออกจากบริเวณอันตรายนั้น เป็นเวลาสั้น ๆ
– หน้ากากกรองแก๊ส (Gas mask) ตลับกรองจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่จะต่างกันตรงส่วนที่บรรจุสารเคมี เพื่อทำให้อากาศที่ปนเปื้อนสะอาดก่อนที่จะถูกหายใจเข้าสู่ทางเดินหายใจเท่านั้น ซึ่งจะแบ่งเป็น
* ชนิดที่กระป๋องอยู่ที่คางบรรจุสารเคมีประมาณ 250-500 ลบ.ซม. ใช้กับหน้ากากเต็มหน้า
* ชนิดที่กระป๋องบรรจุสารเคมีอยู่ด้านหน้า หรือด้านหลังบรรจุสารเคมี 1,000-2,000 ลบ.ซม. ใช้กับหน้ากากเต็มหน้า
* ชนิดหน้ากากหนีภัย
– หน้ากากที่ทำให้อากาศสะอาดชนิดที่มีระบบช่วยเป่าอากาศเข้าไปในหน้ากาก หน้ากากชนิดนี้จะมีส่วนประกอบที่คล้ายกับหน้ากากป้องกันแก๊สและไอระเหย แต่จะมีสิ่งที่เพิ่มขึ้นคือมีเครื่องเป่าอากาศให้ผ่านตลับหรือกระป๋องสารเคมี ซึ่งจะช่วยลดแรงต้านทานการหายใจของผู้ใช้งาน ทำให้รู้สึกสบายขึ้นขณะปฏิบัติงาน
ข้อปฏิบัติในการใช้งานหน้ากาก
– เลือกขนาดหน้ากากให้พอดีกับใบหน้า โดยไม่ให้มีช่องว่างระหว่างผิวหน้าและหน้ากาก
– เลือกวัสดุกรองอนุภาคหรือตลับกรองมลพิษหรือกระป๋องกรองมลพิษให้เหมาะสมกับชนิดมลพิษที่ต้องการกรอง
– ตรวจสอบรอยรั่วหรือช่องว่างที่ทำให้อากาศสามารถเข้าไปในหน้ากาก โดยใช้วิธีทดสอบ negative pressure และ positive pressure
* วิธีทดสอบ negative pressure โดยใช้ฝ่ามือปิดทางที่อากาศเข้าให้สนิท แล้วหายใจเข้า ตัวหน้ากากจะยุบลงเล็กน้อย และคงค้างไว้ในสภาพนั้นประมาณ 10 วินาที แสดงว่า ไม่มีรอยรั่วที่อากาศจะไหลเข้าไปในหน้ากากได้
* วิธีทดสอบ positive pressure โดยการปิดลิ้นอากาศออก แล้วค่อย ๆ หายใจออก ถ้าเกิดความดันเพิ่มขึ้น ในหน้ากากแสดงว่า หน้ากากไม่มีรอยรั่ว
– ขณะสวมหน้ากาก หากได้กลิ่นแก๊สหรือไอระเหย ควรเปลี่ยนตลับกรองหรือกระป๋องกรองมลพิษทันที
– หน้ากากแบบ powered air purifying ควรตรวจสอบท่อส่งอากาศและข้อต่อต่างๆ ที่อาจทำให้แก๊สหรือไอระเหยรั่วซึมเข้าไปได้
– ประเภทที่ส่งอากาศจากภายนอกเข้าไปในหน้ากาก เป็นอุปกรณ์ป้องกันทางการหายใจชนิดที่ต้องมีอุปกรณ์ส่งอากาศหรือออกซิเจนให้กับผู้สวมใส่โดยเฉพาะ โดยจะสามารแบ่งได้ดังนี้
– ชนิดที่แหล่งส่งอากาศติดที่ตัวผู้สวม (Self-contained breathing apparatus หรือที่เรียกว่า SCBA) ผู้สวมจะต้องนำแหล่งส่งอากาศหรือถังออกซิเจนไปกับตัว ซึ่งสามารถใช้ได้นานประมาณ 4 ชั่วโมง หลักๆแล้วส่วนประกอบของอุปกรณ์นี้ จะประกอบไปด้วย ถังอากาศ สายรัดติดกับผู้สวม เครื่องควบคุมความดัน ละการไหลของอากาศจากถังไปยังหน้ากาก ท่ออากาศ และหน้ากากชนิดเต็มหน้า โดยหลักการทำงานของอุปกรณ์นี้ มี 2 รูปแบบ คือ
* แบบวงจรปิด หลักการคือ ลมหายใจออกจะผ่านเข้าไปในสารดูดซับเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วกลับเข้าไปในภาชนะบรรจุออกซิเจนเหลวหรือออกซิเจนแข็งหรือสารสร้างออกซิเจน แล้วกลับเข้าสู่หน้ากากอีกครั้ง
* แบบวงจรเปิด หลักการคือ ลมหายใจออกจะถูกปล่อยออกไป ไม่หมุนเวียนกลับมาใช้อีก อากาศที่หายใจเข้าแต่ละครั้ง จะมาจากถังบรรจุออกซิเจน
– ชนิดที่ส่งอากาศไปตามท่อ (Supplied air respirator) ถังเก็บอากาศจะอยู่ห่างออกไปจากตัวผู้สวม อากาศจะถูกส่งมาตามท่อเข้าสู่หน้ากาก
ข้อปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์ป้องกันทางการหายใจแบบส่งอากาศจากภายนอกเข้าไปในหน้ากาก
1.ตรวจอุปกรณ์ทุกส่วนให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยก่อนใช้งาน
2.ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนให้เหมาะสมและหน้าปัดบอกปริมาณออกซิเจนควรอยู่ในสภาพที่ผู้สวมใส่สามารถเห็นได้ชัดเจน
3.ขณะสวมหน้ากากอยู่ หากได้กลิ่นสารเคมีควรรีบออกจากบริเวณนั้นทันที
4.ควรมีท่อสำรองและสารช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น เช่น ท่อนำส่งอากาศชำรุด เป็นต้น
5.ผู้สวมใส่ต้องได้รับการฝึกอบรมวิธีการใช้งานมาเป็นอย่างดี
6.ต้องมีการบำรุงรักษาที่ดี เช่น ตรวจสอบถังอากาศ เครื่องควบคุมความดันและการไหลเวียนของอากาศ ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
การทำความสะอาดหน้ากาก
1. ถอดตลับหรือกระป๋องบรรจุสารเคมีออกจากตัวหน้ากาก แล้วนำหน้ากากไปล้างด้วยน้ำอุ่นและสบู่ โดยใช้แปรงนิ่มๆ ขัดเบาๆ
2. นำไปฆ่าเชื้อโรคโดยจุ่มลงในสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 2 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง
3. ประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าที่ ตรวจสอบให้เรียบร้อยและควรเก็บในที่สะอาดไม่ปนเปื้อนฝุ่น สารเคมีหรือถูกแสงแดด